‘คํารณ หว่างหวังศรี’ ชีวิตพลิกแบกหน้าอยู่ห้องเช่า
|‘คำรณ หว่างหวังศรี’ ช่อง 7 ตัดหาง เร่ขายน้ำปลาร้าเป็นพ่อค้าตอนแก่
เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงจะคุ้นเคย กับชื่อของ ‘คำรณ หว่างหวังศรี’ เจ้าของวลี “นะจะบอกให้” เพราะเขาโลดแล่นอยู่บนหน้าจอทีวีนานกว่า 30 ปี
ในฐานะนักข่าวภาคสนาม ที่นำเสนอข่าวชาวบ้าน สะท้อนวิถีชีวิตและสังคมชนบท จนมีชื่อเสียงโด่งดัง ตลอดชีวิตการเป็นสื่อมวลชน เขาเดินทางไปทั่วสารทิศ
‘คำรณ หว่างหวังศรี’ เรียกว่าเป็นนักข่าวหรือผู้ประกาศข่าวที่ประสบความสำเร็จบนเส้นทางบันเทิงอีกคนหนึ่งของวงการ แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป ชื่อของ ‘คำรณ หว่างหวังศรี’ ก็ค่อยห่างหายไป
ก่อนหน้านี้ ‘คำรณ’ ได้เปิดเผยถึงชีวิตในตอนนี้ว่า จากยุคที่เมื่อหลาย 10 ปีก่อนที่ตนเคยโด่งดังและมีชีวิตที่ดีมาก มีให้ได้ใช้จ่ายไม่ขาด
ซื้อบ้านซื้อรถได้ตามปรารถนา เคยซื้อบ้านเอาไว้ 3-4 หลัง ทั้งทาวน์เฮ้าส์ บ้านเดี่ยว แต่ปัจจุบันทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว ไม่มีแล้ว ซึ่งตอนนี้เช่าบ้านอยู่
ส่วนทุกวันนี้นั้นใช้สำรองและเป็นก้อนสุดท้ายแล้ว เพราะที่เปลี่ยนจากอะนาล็อกเข้าสู่ดิจิตอล “ตอนเรามีชื่อเสียงอะไรก็เข้ามา ผมคิดมากในช่วงที่มีชื่อเสียงปี 2533
ทำงานเยอะมากจริง ๆ ในหนึ่งวันต้องเข้าสตูดิโอ เขียนต้นฉบับ ออกไปทำข่าว ซึ่งตอนนั้นหาเงินได้แบบว่า ขับรถไปดูหมู่บ้านแถวรังสิตก็สามารถซื้อได้เลย
ทาวน์เฮาส์ก็มี บ้านเดี่ยวก็มี ซื้อกันง่ายๆ เลย มันเป็นยุคเฟื่องฟู อะไรก็ดีไปหมด รถอยากได้รุ่นนี้ก็ซื้อได้เลย คนมันมีชื่อเสียงอะไรก็มาเอง เขาให้ไปหมด เคยถึงขั้นเป็นพรีเซนเตอร์หมู่บ้านเลย
ตอนที่มีชีวิตรุ่งเรือง ผมซื้อบ้านไว้แต่ไม่ได้อยู่นะ ประมาณ 3-4 หลัง แต่ทุกวันนี้ไม่มีบ้านแม้แต่หลังเดียว เช่าเขาอยู่ บ้านที่เคยมีขายหมด
เพราะพอหมดยุค ผมก็ไม่ไหว ยกให้เพื่อนไปเลย ให้เฉย ๆ โดยที่ไม่ได้ขายต่อด้วย จนทุกวันนี้ไม่เหลืออะไร เพราะที่เปลี่ยนอะนาล็อกเข้าสู่ดิจิตอล
ทำให้ทุกสิ่งอย่างมันผันแปรหมดเลย เราคิดว่าการที่เรามี อะไรมันก็สบายใจ แต่พอเปลี่ยนเป็นดิจิตอล เราก็ต้องมาขายแต่โฆษณา เงินมันก็เลยเปลี่ยนไป
ในตอนนั้นที่เป็นอะนาล็อก โฆษณาในรายการที่ทำ แพงกว่าละครอีก จนวันหนึ่งมาเปิดบริษัทเอง เพราะเราไม่มั่นใจว่าอนาคตจะเป็นยังไง แต่ว่าก็เข้ามาขนาดไหน ออกไปมากกว่านั้นอีก
ทุกวันนี้บริษัทยังทำอยู่ครับ รายการยังมีอยู่ ทำป้อนช่อง 3 ส่วนสาเหตุที่ออกจากช่อง 7 นั้น คือมันเป็นยุคเปลี่ยนถ่ายผู้บริหาร คนเก่าไปคนใหม่มา
คนเก่าอาจจะพอใจเรา แต่พอคนใหม่เข้ามาเค้าก็มองว่าเราเก่าไปแล้ว เราก็ออกไปหาที่ใหม่ ซึ่งที่ใหม่ให้เรามากกว่าที่เก่าหลายสิบเท่าตอนนั้นสุขสบายเลย ให้ประมาณ 40 กว่าเท่าเลย
แต่พอดิจิตอลมันเข้ามา เขาก็แบกกันไม่ไหว เขาก็ให้เราไปเป็นค่าโฆษณา แล้วเราหาโฆษณาไม่ได้ จนในที่สุดมันก็เข้าเนื้อตลอด ถามว่าทำไมถึงไม่หยุดทำทีวี เราก็ต้องปรับตัวเองให้เข้ากับการทำทีวียุคใหม่ด้วย”